คำแนะนำในการเลือกรูปแบบของการประกอบธุรกิจ ในเท่าทันเกมกลยุทธ์


การเลือกรูปแบบองค์กรธุรกิจแต่ละประเภทมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันอยู่หลายประการ ผู้ประกอบการจึงควรจะพิจารณาให้รอบคอบ จึงขอแนะนำเทคนิค10 ประการที่จะใช้ในการเลือกรูปแบบองค์กรธุรกิจดังนี้

1. พิจารณาดูว่ามีการจัดตั้งและผลการจัดตั้งธุรกิจนั้นยุ่งยากลำบากเพียงใดเช่น หากท่านจะประกอบธุรกิจง่ายๆ เล็กๆ ก็อาจจะไม่ต้องจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทแต่จัดตั้งเป็นธุรกิจเจ้าของคนเดียว หรือเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญง่ายๆ ก็ได้
2. พิจารณาดูถึงต้นทุนที่จะต้องระดมมาในการประกอบการ ถ้าหากว่าท่านเห็นว่าการจะประกอบการต้องใช้เงินทุนเป็นจำนวนมากก็อาจจะต้องเลือกรูปแบบการจัดตั้งในรูปแบบของบริษัท จำกัด
3. พิจารณาถึงความรู้ความสามารถของประสบการณ์ของตนเองในฐานะของผู้ลงทุน และหากท่านจะต้องระดมผู้ที่มีความรู้ ความสามารถเข้ามาประกอบกิจการ ท่านก็อาจจะต้องจัดตั้งในรูปแบบห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือ บริษัทจำกัดมากกว่าจะประกอบธุรกิจในรูปแบบของผู้ประกอบการคนเดียว
4. พิจารณาในแง่การบริหารและการควบคุมกิจการ ว่า เมื่อจัดตั้งองค์กรธุรกิจไม่ว่าจะเป็นบริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือ กิจการคนเดียวนั้น จะสามารถบริหารงานและควบคุมกิจการได้หรือไม่ นอกจากนั้นอาจจะพิจารณาดูว่า การจัดตั้งบริษัทจำกัด เพื่อเป็นประโยชน์ในด้านการควบคุมและรวบรวมทรัพย์สินของครอบครัวไว้เป็นหน่วยเดียวกันหรือไม่
5. พิจารณาถึงสถาพของธุรกิจโดยทั่วไปว่ากิจการที่จะลงทุนนั้น ควรจะเป็นรูปแบบองค์กร ธุรกิจแบบใด จะมีระยะเวลาประกอบธุรกิจนานเท่าไร จะสร้างความเชื่อถือให้กับองค์กรธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และจะสามารถขยายกิจการออกไปได้หรือไม่
6. พิจารณาถึงความรับผิดชอบในบรรดาหนี้สินอันเกิดจากการประกอบการ ข้อนี้นับว่าเป็นข้อสำคัญอย่างยิ่งของผู้ประกอบการการประกอบธุรกิจแบบห้างหุ้นส่วนมักเป็นที่นิยมมาก โดยผู้ประกอบการอาจไม่ทราบว่า หุ้นส่วนผู้จัดการหรือ หุ้นส่วนสามัญนั้น จะต้องมีความรับผิดอย่างไม่จำกัด หรือแม้มีการประกอบกิจการคนเดียว หากมีหนี้สิ้นก็ต้องรับผิดอย่างไม่จำกัด ซึ่งนับว่าเป็นอันตรายอย่างมาก แต่ในทางตรงข้ามการเลือก ประกอบธุรกิจโดยเป็นบริษัทจำกัด ความรับผิดชอบนั้นจำกัดเฉพาะหุ้นที่ลงทุนไปแล้วเท่านั้น
7. พิจารณาว่าระยะเวลาและความต่อเนื่องในการประกอบกิจการนั้นตรงตามจุดประสงค์ของกิจการเป็น ชั่วครั้งชั่วคราว หรือตลอดไป เพราะเหตุว่าถ้าหากต้องการประกอบกิจการเพียงช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่งโดยเฉพาะ ก็อาจจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล เพราะว่าการเลิกกิจการนั้นยากกว่าการจดทะเบียนเสียอีก
8. พิจารณาเกี่ยวกับวิธีการแบ่งปันผลกำไรจากการประกอบการโดยจะต้องพิจารณาว่าท่านมีความประสงค์จะแบ่งปันผลกำไรอย่างไร เพราะหากว่ามีการจัดตั้งเป็นบริษัทจำกัดการจะแบ่งปันผลกำไรนั้น คงมีข้อจำกัดทางกฎหมาย และจะต้องมีการตั้งทุนสำรองไว้ตามกฎหมายอีก
9. พิจารณาว่าในอนาคตนั้นจะสามารถเปลี่ยนแปลงหรือขยายรูปแบบองค์การธุรกิจเพิ่มขึ้นหรือเพิ่มเติมหรือไม่
10.พิจารณาว่า ภาระภาษีขององค์กรธุรกิจ แต่ละแบบเป็นอย่างไร แบบใดจะเสียภาษีต่ำที่สุด

การตัดสินใจจะเลือกองค์กรธุรกิจแบบใดในการประกอบธุรกิจนอกเหนือจากความรับผิดชอบแล้วต้องคำนึงถึงภาระภาษีและความเป็นไปได้ทางธุรกิจ

เริ่มต้นรู้เท่าทันเกมธุรกิจอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ

ในปัจจุบันนักศึกษาที่จบใหม่ พนักงานที่ทำงานในบริษัทห้างร้านต่างๆ ทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่ และข้าราชการหรือบุคลากรภาครัฐจำนวนมากที่สนใจจะมีธุรกิจของตนเอง แต่หลายๆ คนก็กล้าๆ กลัวๆ เกรงว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ และทุนรอนที่สะสมมาขณะทำงานจะหมดไป แล้วจะเดือดร้อนทั้งตนเองและครอบครัว
ในแต่ละปีจะมีธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้นจำนวนมากทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่ ในขณะเดียวกันก็มีธุรกิจจำนวนมากที่ต้องล้มเลิกกิจการไปด้วยเหตุผลต่างๆ ที่สำคัญคือขาดทุน แข่งขันกับคู่แข่งขันไม่ได้ หรือสู้คู่แข่งไม่ได้ ซึ่งยังไม่รวมสาเหตุอื่นๆ อีกนานัปการ เช่น การทุจริต การแตกคอกันของหุ้นส่วน เป็นต้น การต้องเลิกธุรกิจนอกจากทำให้ทุนที่สะสมมาหมดไป บางรายยังมีหนี้สินอีกจำนวนมาก ทั้งเงินกู้สถาบันการเงิน เจ้าหนี้การค้า เงินกู้นอกระบบ เป็นต้น และตามมาด้วยคดีฟ้องร้อง ต้องเสียทรัพย์สินที่ไปจำนองกับธนาคาร หรือบางรายอาจถูกเจ้าหนี้ฟ้องล้มละลาย หมดทั้งทรัพย์สินและเชื่อเสียงเกียรติยศที่สั่งสมมานาน

ดังนั้นการจะเริ่มต้นทำธุรกิจจึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่คิดจะทำเมื่อไหร่ก็ลงมือทำได้ทันที จำเป็นต้องศึกษาให้รอบครอบและเตรียมความพร้อมก่อนลงมือ อย่ารีบร้อนจนเกินไป ยอมเสียเวลาเสียค่าใช้จ่ายในการศึกษาธุรกิจที่จะลงทุนก่อนจะดีกว่า ไม่ต้องเสียใจภายหลัง เพื่อไม่ให้ลงทุนแล้วต้องขาดทุน หมดเนื้อหมดตัวและขาดความมั่นใจในการทำธุรกิจไปตลอดชีวิต

นักลงทุนทุกคน เมื่อลงทุนแล้วก็ต้องการประสบความสำเร็จด้วยกันทั้งสิ้น ขอแนะนำแนวทางสำหรับท่านที่จะเป็นนักลงทุนใหม่ในการลงทุนแล้วประสบความสำเร็จ ขอให้นักลงทุนทุกท่านตระหนักไว้เสมอว่าการลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ แต่การศึกษาอย่างรอบคอบจะช่วยลดความเสี่ยง ลดความล้มเหลวในการลงทุน การประเมินความพร้อมของผู้สนใจลงทุนเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการทำธุรกิจ เมื่อเดินหน้าลงทุนไปแล้ว จะถอยหลังก็ลำบาก บางครั้งเดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้ เพราะลงทุนไปแล้ว ก็ยิ่งสร้างความลำบากใจ หลายคนชอบความสบาย ไม่ต้องการความรับผิดชอบ ไม่ชอบบริหารคน ชอบทำงานคนเดียว ไม่ชอบเอาใจใคร พอมาทำธุรกิจเข้า ก็เกิดความอึดอัด เพราะไม่ใช่ตัวตนของตน ทำไปก็ไม่มีความสุข เป็นผลเสียต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต และยังบั่นทอนไม่ให้ธุรกิจเติบโต เพราะใจไม่ชอบ จึงไม่ทุ่มเท ดังนั้น การประเมินความพร้อมของผู้สนใจลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญประการแรกๆ ที่จะต้องทำ

การนำกลยุทธ์ SMEs มาปรับใช้ในเกมธุรกิจอาเซียนเพื่อให้ได้มีประสบการณ์ด้านธุรกิจ


กลยุทธ์ SMEs ไทยสู่อาเซียน ต้องได้รับข้อมูลแบบเจาะรายตลาดในอาเซียนที่ชัดเจน ทั้งความรู้ด้านการค้า การลงทุน ภาษีและกฎหมาย ตลอดจนการร่วมกลุ่มในห่วงโซ่อุปทาน หรือสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็งจะเป็นกุญแจสำคัญในการเจาะตลาดเพื่อนบ้านอาเซียน เพื่อทำการค้าการลงทุนได้ต่อเนื่องอย่างมีประสิทธิภาพ การเข้าไปทำธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้านต้องศึกษากฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ และควรขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางด้านกฎหมาย เนื่องจากกฎระเบียบข้อบังคับของประเทศต่างๆ นั้นแตกต่างกัน และเป็นเรื่องต้องทำความเข้าใจในประเด็นต่าง ๆ ให้ครบถ้วน เพื่อป้องกันข้อผิดพลาด และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การรอบรู้ด้านกฎหมาย และการมีเครือข่ายที่มีศักยภาพในตลาด ถือเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จในการขยายตลาดสู่อาเซียนได้อย่างมั่นคง

เคล็ดลับการเข้าไปทำตลาดใน CLMV (กัมพูชา ลาว พม่าและเวียดนาม) นั้น ผู้ประกอบการควรสร้างความแตกต่างจากสินค้าที่มีอยู่ในตลาด และเน้นถึงกลยุทธ์สำคัญในการบุกตลาดอาเซียน ได้แก่ การเข้าใจตลาด มาตรฐานผลิตภัณฑ์ กฎหมายกฎระเบียบ ความรู้ในการทำธุรกรรมด้านการเงิน การเลือกช่องทางการจำหน่ายที่เหมาะสม และที่สำคัญคือ การพัฒนาสินค้าให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาด

สำหรับการทำธุรกิจในกัมพูชา ผู้ประกอบการควรศึกษาวัฒนธรรม ประเพณี และนิสัยใจคอของคู่ค้า คู่แข่งสำคัญของสินค้าไทย คือ ไต้หวัน เกาหลี จีน และเวียดนามกัมพูชาให้สิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุน เช่น การยกเว้นภาษีกำไร ภาษีนำเข้าเครื่องมือการผลิต อุปกรณ์การก่อสร้าง เป็นต้น โดยชาวต่างชาติสามารถเป็นเจ้าของกิจการได้ 100 % ในธุรกิจแทบทุกสาขา

การทำธุรกิจในเมียนมาร์ ปัจจุบันเมียนมาร์ยุคใหม่ภายหลังการเปิดประเทศ มีการปรับกฎระเบียบในด้านต่างๆ ให้เอื้อต่อการเข้าไปลงทุนเพิ่มมากขึ้น ธุรกิจที่น่าสนใจในประเทศเมียนมาร์ ได้แก่
– เกษตรกรรม เนื่องจากเป็นประเทศที่มีการทำการเกษตรเป็นหลักและมีแหล่งทรัพยากรที่ดินมากมาย
– สัตว์น้ำและประมง เนื่องจากเป็นประเทศที่ติดทะเล 2,832 กิโลเมตร
– รวมทั้งเหมืองแร่และพลังงานซึ่งเมียนมาร์มีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์

รูปแบบการทำธุรกิจในเมียนมาร์มี 3 รูปแบบ
1) การทำธุรกิจกับเมียนมาร์โดยตรง คือ ให้คนเมียนมาร์ขายสินค้าหรือทำร่วมกัน
2) การส่งสินค้าผ่านผู้ค้าชายแดนเพื่อเป็นตัวแทนการกระจายสินค้าให้
3) การตั้งเอเย่นต์ที่ชายแดน ข้อควรระวัง คือ การถูกปลอมแปลงสินค้าจากประเทศจีนซึ่งสินค้าไทยโดนปลอมแปลงเป็นจำนวนมาก เนื่องจากชาวเมียนมาร์นิยมสินค้าไทยมากกว่าสินค้าจากจีนเพราะมีคุณภาพที่ดีกว่า

การทำธุรกิจในเวียดนาม ควรเริ่มทำที่ภาคใดภาคหนึ่งก่อนแล้วค่อยขยายไปทีละภาคโดยต้องมองเวียดนามออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนเหนือและส่วนใต้ เนื่องจากมีความแตกต่างกันอยู่หลายด้าน
เวียดนามเหนือจะเติบโตได้เร็วกว่าเพราะได้รับอิทธิพลความเจริญจากจีน (ปักกิ่ง) และไทย ส่วนเวียดนามใต้จะเติบโตช้าเพราะเป็นเมืองอุตสาหกรรมคนเวียดนามเชื่อว่าสินค้าของไทยดีที่สุด พฤติกรรมของคนมีรายได้จะเลือกใช้สินค้าจากไทย ส่วนคนมีรายได้น้อยจะเลือกของจีนเพราะราคาถูกการทำธุรกิจในเวียดนาม ควรหาพันธมิตรที่มีศักยภาพเพื่อเสริมความเข้มแข็งให้ธุรกิจ การตลาดที่ได้ผลดีในเวียดนามคือการโฆษณาแบบปากต่อปาก และการทำการตลาดในอนาคตไม่ควรทำอย่างเดียว ควรมีหลากหลายและทำเป็นแพคเกจ

งานพัฒนาและสนับสนุน SMEs ให้มีศักยภาพด้านการแข่งขันในเวทีการค้าระหว่างประเทศ กรมฯ มีนโยบายสนันสนุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างผู้ประกอบการที่มีความพร้อมทั้งด้านองค์กรธุรกิจเอง และกรมฯยังสนันสนุนด้านการร่วมทุน หรือลงทุนในต่างประเทศโดยเฉพาะในอาเซียนเพื่อลดต้นทุนการผลิต โลจิสติกส์ และกระจายตลาดสินค้าและบริการไทยซึ่งมีภาพลักษณ์ที่ดีไปสู่ตลาดโลก อันเป็นการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศโดยรวม

การรู้เท่าทันเกมธุรกิจเคล็ดลับขายของออนไลน์ไม่ให้ขาดทุน


ภาพรวมธุรกิจการขายสินค้าโดยตรงสู่ผู้บริโภค หรือที่เรียกว่า B2C ทั่วโลก มีการตั้งเป้าว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2014 ด้วยแรงผลักดันจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของผู้ใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเลตที่มีความมั่นใจในการซื้อขายผ่าน “เอ็ม คอมเมิร์ซ” มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้การชำระเงินและการจัดส่งสินค้าก็ยังมีความปลอดภัยแน่ใจได้มากขึ้นกว่าเดิมเช่นกัน และเพื่อใช้ประโยชน์จากการเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ในแง่ของอีคอมเมิร์ซ ร้านค้าปัจจุบันและผู้ที่กำลังจะเริ่มธุรกิจจำเป็นที่จะต้องเข้าใจวิธีการเพิ่ม ประสิทธิภาพการค้าในสนามแข่งขันและสร้างผลกำไรสูงสุดเพื่อเป็นแรงขับเคลื่อน ให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซเติบโตต่อไป

เคล็บลับช่วยให้ร้านค้าออนไลน์สามารถรู้เท่าทันเกมการค้า ในขณะที่คงความเป็นเอกลักษณ์และเข้าถึงความต้องการของนักช็อปได้ การวางแผนและการลงทุนไม่ ว่าจะเป็นธุรกิจแบบใดผู้ค้าย่อมต้องมีเป้าหมายในการค้าขายและมีการวางแผนที่ จะไปให้ถึงเป้าที่ตั้งไว้แต่สำหรับอีคอมเมิร์ซที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เวลานั้นการวางแผนล่วงหน้าถึง6 เดือนเป็นสิ่งที่สำคัญมากและผู้ค้าจะต้องมีแผนสำรองไว้คอยรับมือกับสิ่งที่ อาจจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในอนาคตให้ได้เช่นกันถึงกระนั้นการวางแผนล่วงหน้าก็เป็นเพียงแค่หนึ่งในชั้นตอนการทำการค้าเท่านั้น

นอกจากนี้ร้านค้าสามารถดูแนวโน้มการตลาดที่กำลังเกิด ขึ้นบนราคูเท็นตลาดดอทคอมได้เช่นกันรวมทั้งคีย์เวิร์ดที่ใช้ในการค้าขายและ ภาพรวมทางการตลาดที่เกิดขึ้น การตลาดการทำการค้าออนไลน์ทำให้คุณมีโอกาสพบเจอกลุ่มลุกค้าที่หลากหลายแต่กุญแจสำคัญ ที่จะทำให้คุณก้าวไปสู่ความสำเร็จได้อยู่ที่ว่าใครคือกลุ่มเป้าหมายที่คุณ ต้องการอะไรคือสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายอยากได้ยินและทำอย่างไรที่จะเข้าถึง ลูกค้าได้ดีที่สุด

การทำการค้าอีคอมเมิร์ซโดยตรงสู่ผู้บริโภค (B2C) กำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และคาดว่าจะสูงถึง 2.34 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี พ.ศ.2560 ดังนั้น ธุรกิจที่สามารถประยุกต์ตนเองให้เข้ากับกระแสอีคอมเมิร์ซที่กำลังเติบโตได้ ย่อมมีโอกาสและเครื่องมือในการก้าวไปสู่ความสำเร็จในการทำธุรกิจออนไลน์ในอนาคตอยู่ในกำมือ หากคุณพลาดโอกาสนี้ไป คุณอาจไม่มีโอกาสแก้ตัวครั้งที่สองก็เป็นได้

การสะสมประสบการณ์ให้ประสบผลสำเร็จทางธุรกิจ

การสะสมประสบการณ์ให้ประสบผลสำเร็จทางธุรกิจ

นับแต่อดีตเป็นต้นมาหลายครั้งที่ค่านิยมถูกนำไปผูกติดกับความเชื่อในแบบผิดๆ ซึ่งมักบังคับช่องทางการทำธุรกิจให้แคบลงอยู่เสมอ ความเชื่อเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเอาเสียเลยในปัจจุบัน เพราะดูเหมือนจะเป็นการไปจำกัดความก้าวหน้าอย่างสิ้นเชิงสำหรับนักธุรกิจสายเลือดใหม่ โดยหนึ่งในความเชื่อที่เป็นข้อผูกมัดให้ไม่อาจทำให้เริ่มธุรกิจใหม่ได้ก็คือความเชื่อเรื่องประสบการณ์ ซึ่งมักได้รับการบอกกล่าวจากรุ่นสู่รุ่นว่าธุรกิจเป็นเรื่องของประสบการณ์ ผู้ใดไม่มีประสบการณ์ก็อย่าริอ่านไปทำธุรกิจโดยเด็ดขาด Timothy Ericson ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท CityRyde ได้ให้แนวทางที่จะปฏิวัติความคิดเรื่องประสบการณ์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจอีกต่อไป ความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดจุดด้อยในเรื่องการขาดประสบการณ์ได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะกับบริษัทหน้าใหม่ๆ คำถามที่มักพบเป็นประจำเมื่อเวลาไปขายงานต่อหน้าลูกค้าคือ หากไม่มีประสบการณ์อะไรเลยแล้วสิ่งไหนจะมาเป็นตัวช่วยบ่งชี้ว่าคุณจะทำงานให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่นำเสนอมาได้ ผู้ประกอบการหลายรายเมื่อได้ฟังคำถามนี้ก็แทบตกเก้าอี้เพราะไม่สามารถตอบคำถามที่ยิงมาจากปากลูกค้าได้ ทางออกของปัญหาดังกล่าวคือสร้างความน่าเชื่อถือให้เกิดขึ้นในกรอบการดำเนินงานของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มจำนวนเงินทุนสำรอง ยอดหมุนเวียนในกระแสเงินสด และที่สำคัญคือประวัติการทำงานที่ผ่านมาของบริษัทต้องไม่มีข้อผิดพลาดจนถูกฟ้องร้องหรือความล้มเหลวที่เกิดขึ้นจากการทำงานโดยเด็ดขาด เรียกได้ว่าทำประวัติการทำงานของบริษัทให้เนียนเข้าไว้จะช่วยทดแทนจุดด้อยในเรื่องของการขาดประสบการณ์ได้เป็นอย่างดี

เครื่องมือที่สำคัญที่สุดของผู้ประกอบการในการลดปัญหาที่เกิดจากการขาดประสบการณ์ทางธุรกิจก็คือใช้จุดแข็งเข้าต่อสู้ ผู้ประกอบการจะต้องสำรวจตนเองก่อนว่ามีจุดแข็งในเรื่องอะไรที่จะสามารถไปต่อกรกับคู่แข่งบนท้องตลาดได้ อาจเป็นราคาที่ถูกกว่า คุณสมบัติที่ดีกว่า ฯลฯ แล้วพัฒนาเครื่องมือดังกล่าวนำมาใช้เป็นอาวุธในการต่อสู้กับคู่แข่งที่มักอ้างเรื่องประสบการณ์เป็นจุดเด่น ซึ่งการใช้จุดแข็งของธุรกิจเข้ามาต่อสู้นี้ต้องใช้ทักษะส่วนตัวของผู้ประกอบการค่อนข้างมากในการบริหารจัดการให้ตรงกับยุทธศาสตร์ที่วางเอาไว้ ประสบการณ์ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ประกอบการจะหาซื้อได้จากร้านสะดวกซื้อทั่วไปและส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ดังนั้นการค้นหาจุดแข็งในด้านอื่นๆ เพื่อนำมาทดแทนจุดด้อยดังกล่าวจึงเป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึง “กึ๋น” ในการบริหารจัดการของผู้ประกอบการได้เป็นอย่างดี

เกมธุรกิจที่น่าสนใจยุค 2020 ก็คือธุรกิจออนไลน์

 

กระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยที่โดดเด่นและเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วชนิดวันต่อวันก็คือ การใช้อินเตอร์เน็ต ที่ได้เข้ามามีบทบาทต่อการใช้ชีวิตของคนไทยในสังคมทุกเพศทุกวัย นับตั้งแต่ใช้เป็นช่องทางในการติดต่อสื่อสาร การอัพเดทรับข่าวสารต่างๆ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม และเป็นอีกช่องทางหนึ่งก็คือ เป็นช่องทางในการทำธุรกิจออนไลน์ เพราะกระแสโลกที่หมุนไม่หยุดนี่งนี้ ทำให้เกิดการประกอบธุรกิจออนไลน์ขึ้นมากมายทั้งที่เป็นระบบการขายสินค้าออนไลน์และธุรกิจออนไลน์ในระบบเครือข่าย ซึ่งแนวโน้มของธุรกิจประเภทนี้ก็มีแต่จะเป็นกราฟสูงขึ้น ด้วยอิทธิพลของเครือข่ายสังคมออนไลน์

อย่าง social network ที่น้อยคนนักจะเอ่ยปากบอกว่าไม่รู้จัก ก็ขนาดว่ากรุงเทพฯ เป็นอันดับหนึ่งของเมืองที่มีคนเล่นเฟสบุคมากที่สุดในโลก สะท้อนความนิยมเห้นไดชัดขนาดนี้ แน่นอนว่าพื้นที่นี้จึงเป็นทำเลในการค้าขายที่ดีที่สุดที่หนึ่งโดยที่เจ้าของธุรกิจไม่ต้องลงทุนเสียค่าพื้นที่หรือทำเลแพงๆ เลยสักบาท การทำธุรกิจออนไลน์ยังสามารถกระจายและเผยแพร่ข้อมูลได้เร็วไปถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านวิธีการโพส การแชร์ตามช่องทางต่างๆ ในโลกเครือข่ายไร้สายนี้ได้อย่างมหัศจรรย์ภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที เป็นช่องทางที่อำนวยต่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์ธุรกิจออนไลน์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และจากอัตราการเจริญเติบโตของธุรกิจออนไลน์ที่พบเห็นว่ามีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มช่องทางการสื่อสารทางการตลาดในเศรษฐกิจยุคนี้ว่ากำลังก้าวเข้าสู่ยุคของสื่อ digital media อย่างแท้จริง

การเลือกทำธุรกิจที่มีอัตราเจริญเติบโตโดดเด่น เห็นกำไรดี การทำธุรกิจออนไลน์จึงเป็นธุรกิจที่น่าสนใจยิ่งในยุค 2020 เพียงอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ ฐานลูกค้าหรือคนที่ใช้บริการเครือข่ายออนไลน์ส่วนใหญ่จะตกอยู่ในมือของคน Gen Y ที่เติบโตในยุคของการเปลี่ยนแปลงทางสภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมือง รวมทั้งเทคโนโลยีต่างๆ คนกลุ่มนี้จะมีความทันโลกและทันสมัย สามารถใช้อุปกรณ์ไอทีต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ชื่นชอบเรื่องดิจิตอล ดังนั้น อินเตอร์เน็ตจึงเป็นตัวช่วยสำคัญในการค้นคว้าหาข้อมูล เปรียบเทียบสินค้า เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเลือกซื้อ เปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อขายแบบเดิมๆ แต่กล้าเสี่ยงกับการจับจ่ายใช้สอยในรูปแบบที่หลากหลายกว่าเดิม คุณลักษณะของคนกลุ่มนี้เองที่ทำให้ในยุค 2020 ธุรกิจออนไลน์จะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจสำหรับผู้ชอบเล่นอินเตอร์เน็ตที่มาแรง